การเขียนบทความวิชาการ
ดร.ศรัณยา
เลิศพุทธรักษ์
บทความวิชาการเป็นงานเขียนที่นำเสนอสาระความรู้และแนวความคิดต่าง
ๆ ที่ผู้เขียนมีความรู้ความเข้าใจ
สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวทางวิชาการของผู้เขียนในการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ
มาถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อ่าน
โดยบทความที่นำเสนอต้องมีความสำคัญต่อผู้เขียน ต่อวงการวิชาชีพ และต่อสังคม นักวิชาการใหม่
ๆ จำนวนมากที่ขาดทักษะในการเขียนบทความ ดังนั้นวัตถุประสงค์ที่เขียนบทความนี้ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจในหลักการเขียนบทความในเบื้องต้น
แต่อย่างไรก็ดี การที่จะเขียนบทความได้ดีนั้นต้องเกิดจากการฝึกฝนสะสมประสบการณ์
บทความวิชาการ (Academic
article) เป็นงานเขียนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หรือวิพากษ์ทัศนะหรือแนวคิดที่มีทาก่อนหน้านี้
หรือจะเป็นการเขียนเพื่อนำเสนอและเผยแพร่ความรู้ใหม่ ให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อถือและการปรับเปลี่ยนแนวคิดตามผู้เขียน
ซึ่งบทความที่ดีจะต้องเน้นการให้ความรู้ที่มีหลักฐานประกอบ
มีเอกสารอ้างอิงอย่างชัดเจนถึงที่มาของข้อมูล ดังนั้นผู้เขียนจะต้องคำนึงถึง
1. ใคร (Who)
จะเป็นผู้อ่านหลักบทความที่นำเสนอ
2.
ประเด็นหรือเรื่องที่ต้องการจะเขียน (What) เพื่อที่จะได้เลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมและหยิบยกประเด็นได้ตรงตามความสนใจทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน
3. ช่วงเวลาที่จะเผยแพร่บทความ
(When) เพราะบทความที่ดีต้องทันสมัยทันเหตุการณ์
มีข้อมูลปัจจุบันมานำเสนอ การยกตัวอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์ในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
4.
เหตุผลที่ต้องการนำเสนอเรื่องที่เขียน (Why)
5.
การกำหนดประเด็นเพื่อวางโครงเรื่องที่จะเขียน (How) ว่าผู้เขียนต้องการเขียนกี่ประเด็น
มีประเด็นหลักประเด็นรองอย่างไรบ้าง และในแต่ละประเด็นจะเขียนถึงอะไร
จะนำเอกสารอ้างอิงมาประกอบการเขียนจากแหล่งไหน อ้างอิงมากน้อยเพียงใด ดังนั้นการวางโครงเรื่องจึงมีความสำคัญมาก
เพราะจะช่วยให้ผู้เขียนไม่หลงประเด็น ไม่เขียนซ้ำซาก และไม่สับสน
การวางโครงเรื่องต้องกำหนดขอบเขตที่จะเขียนอย่างชัดเจน
เนื้อเรื่องต้องมีความสัมพันธ์กันโดยผู้เขียนอาจเรียงตามลำดับความสำคัญหรือเรียงตามลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง
ทั้งนี้ผู้เขียนต้องมีการค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วจากฐานข้อมูล
หนังสือ วารสาร นิตยสาร หรือสื่ออื่น ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งข้อมูลจากประสบการณ์
นอกจากนี้ผู้เขียนสามารถเก็บข้อมูลเพิ่มเติมมาประกอบการเขียน เช่น การสัมภาษณ์
การสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ส่วนประกอบของบทความ
1. ชื่อเรื่อง (title)
ต้องกำหนดให้ชัดเจน เพราะการตั้งชื่อเรื่องที่ดี น่าสนใจ
จะทำให้ผู้อ่านเกิดความต้องการที่จะเข้ามาอ่าน ชื่อเรื่องที่ดีไม่ควรยาวมาก
และใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่าน
2. ชื่อผู้เขียน (author)
ควรใช้ชื่อจริง ไม่ควรใช้นามแฝง
3. บทคัดย่อ (abstract)
วารสารที่รับที่ตีพิมพ์บทความวิชาการจะกำหนดความยาวของบทคัดย่อ
ซึ่งโดยปกติจะมีความยาวไม่เกินครึ่งหน้า การเขียนบทคัดย่อต้องเขียนให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญที่เขียนในเนื้อหาและต้องมีความชัดเจน
4. บทนำ (Introduction) เป็นส่วนสำคัญในการดึงความสนใจของผู้อ่าน เน้นถึงความสำคัญของการเขียนบทความ
นอกจากนี้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การแสดงวัตถุประสงค์ต้องแสดงสาเหตุและประโยชน์ที่จะได้รับจากการอ่านบทความ
ต้องแสดงขอบเขตของเนื้อหา
5. เนื้อเรื่อง
(Body)
การเขียนต้องจำแนกหัวข้อหรือประเด็นให้ชัดเจนเพื่อความสะดวกของผู้อ่าน
และง่ายต่อการทำความเข้าใจ
เนื้อเรื่องต้องมีการจัดย่อหน้าเรียงตามลำดับอย่างเหมาะสมว่าจะเขียนประเด็นใดก่อน-หลัง
เนื้อหาจะต้องมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันจากย่อหน้าหนึ่งสู่อีกย่อหน้าหนึ่ง
เช่น จากเหตุไปสู่ผล หรือ จากช่วงเวลาหนึ่งดำเนินสู่อีกช่วงเวลาหนึ่งตามลำดับเวลา
หรือเรียงตามลำดับความสำคัญ เรียกว่า ‘ความมีสัมพันธภาพ’ และในแต่ละย่อหน้าควรมีใจความสำคัญเพียงประเด็นเดียว ที่เรียกว่า ‘ความเป็นเอกภาพ’นอกนั้นจะเป็นส่วนขยาย
ไม่มีข้อจำกัดว่าย่อหน้าควรมีความยาวเท่าใด แต่โดยปกติจะมีความยาวประมาณ 3-10
บรรทัด และในส่วนที่แสดงถึงใจความสำคัญควรมีการเน้นย้ำ ที่เรียกว่า ‘ความมีสารัตภาพ’
6.ส่วนสรุป (Conclusion) เป็นการนำเนื้อหาทั้งหมดมาสรุปเลือกเฉพาะประเด็นสำคัญมาเขียนรวมกันไว้
7. ส่วนอ้างอิง (References)
ในการเขียนบทความต้องมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูล
ดังนั้นจึงต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล ที่ถูกต้องตาม format ของวารสารที่จะตีพิมพ์บทความ
กล่าวโดยสรุป คือ
การเขียนบทความคืองานเขียนที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ของผู้เขียน
และเจตนารมย์ของผู้เขียนที่จะให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่ต้องการเขียน
บทความที่ดีต้องมีความน่าสนใจ มีการใช้ภาษาที่เหมาะสม
และการเขียนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยการกำหนดชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์ และเนื้อหาที่กระชับ
สอดคล้องกัน และมีการอ้างอิงที่มาของข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ